เมื่อไม่นานมานี้หัวเหว่ยเปิดตัวสมาร์ทโฟนในกลุ่มเรือธง P20 ชูจุดเด่นที่ชิพเซ็ตและซอฟต์แวร์ปัญญาประดิษฐ์ หรือเอไอ ที่เข้าใจพฤติกรรมของผู้ใช้งาน และปรับทรัพยากรเครื่องให้เหมาะสมกับแอปพลิเคชั่นที่ใช้งานอยู่
ผมมีโอกาสได้ทดลองใช้ Huawei P20 ได้สองสัปดาห์ และได้มีโอกาสนำสมาร์ทโฟนรุ่นนี้ไปใช้ขณะเดินทางต่างประเทศด้วย
ดีไซน์ของ Huawei P20 ที่ผมมองว่าโดดเด่นสุดคงเป็นฝาหลังเครื่องที่ใช้กระจกเคลือบเงา กับสีที่ดูแล้วดูหรูหรา สมกับเป็นสมาร์ทโฟนราคาแพง และดูไม่เหมือนกับสมาร์ทโฟนคู่แข่งจากค่ายผลไม้ เมื่อเทียบกับ P10 ที่เปิดตัวเมื่อปีที่แล้ว
จุดเด่นที่หัวเหว่ยพยายามนำเสนอสำหรับสมาร์ทโฟนรุ่นนี้ คือกล้องถ่ายรูป กล้องหลังของ P20 มาพร้อมกับเลนส์คู่ที่ใช้เทคโนโลยีของ Leica มาพร้อมฟังค์ชั่นที่เราคุ้นเคยในรุ่นก่อนๆ เช่นการถ่ายหน้าชัดหลังเบลอ แต่เพิ่มฟังค์ชั่นเอไอเข้าไป เช่นหากผู้ใช้งานเล็งไปที่ภาพอาหาร แอปกล้องก็จะปรับโหมดการถ่ายภาพเป็นการถ่ายภาพอาหาร หรือถ้าเล็งไปที่หน้าคน แอปกล้องก็จะปรับเป็นโหมดถ่ายภาพบุคคล และเปลี่ยนเป็นหน้าชัดหลังเบลอให้โดยอัตโนมัติ
ส่วนกล้องเซลฟีของ P20 ก็มาพร้อมกับโหมดถ่ายภาพบุคคล สามารถปรับเป็นหน้าชัดหลังเบลอด้วยระบบเอไอ
เปรียบเทียบภาพถ่ายเซลฟีจาก P20 (ซ้าย) กับซัมซุง Galaxy S9+ (ขวา) สังเกตได้ว่าโทนสีจะต่างกันอย่างชัดเจนในโหมดนี้ ซัมซุงจะให้โทนสีอบอุ่นกว่า ส่วน P20 จะให้ความขาวเนียนกว่า ส่วนตัวแล้วผมชอบของซัมซุงมากกว่า เพราะให้โทนสีตรงตามความเป็นจริงกว่า P20
ส่วนประสิทธิภาพในการใช้งาน ทั้งเรื่องความเร็วในการประมวลผลแอปต่างๆ ผมว่าทำได้ดีมากๆ แรม 4 GB กับชิพเซ็ต Kirin 970 ทำงานลื่นไหล แต่สิ่งที่ผมขัดใจนิดก็คือแอปพลิเคชั่นที่ติดตั้งมาพร้อมกับเครื่องซึ่งมากเกินความจำเป็น ก่อนหน้านี้ผมเคยรีวิว Huawei P10 ผมก็ว่ามีแอปฟุ่มเฟือยมาเยอะแล้ว มา P20 ผมว่ามีเยอะกว่ารุ่นก่อนอีก
โดยภาพรวมแล้ว P20 ถือเป็นสมาร์ทโฟนเรือธงที่เน้นเรื่องกล้องจริงๆ เรื่องผลของภาพที่ออกมาก็เป็นรสนิยมของแต่ละคนว่าชอบภาพโทนสไตล์ไหน แต่สำหรับผม ผมชอบโทนสีสไตล์ซัมซุง กับ Google Pixel มากกว่า
Huawei P20 จำหน่ายราคา 19,990 บาท มาพร้อมพื้นที่จัดเก็บข้อมูล 64 GB สามารถเพิ่ม Micro SD ได้ มีให้เลือกสองสีคือ Midnight Blue (สีที่ผมรีวิว) กับ Pink Gold
Comentarii