มาเลเซียแอร์ไลน์ให้บริการเที่ยวบินตรง ระหว่างกรุงเทพฯ (สุวรรณภูมิ) ไปกัวลาลัมเปอร์วันละหลายไฟลท์ด้วยกัน แต่ส่วนใหญ่จะเป็นเครื่องแบบ Narrow Body รุ่นโบอิ้ง 737-800 โดยจะมีวันละ 1 เที่ยวบินที่จะให้บริการด้วยเครื่องแบบแอร์บัส A330-200 หรือ A330-300 ส่วนใหญ่จะเป็นเที่ยวบินช่วงเย็น ซึ่งมีผู้โดยสารต่อเครื่องไปยังเที่ยวบินข้ามทวีปที่กัวลาลัมเปอร์
วันนี้ผมมีโอกาสได้นั่ง A330-200 จากกัวลาลัมเปอร์กลับไทย ในเที่ยวบินช่วงประมาณบ่ายสามโมงวันอาทิตย์ ผู้โดยสารเต็มลำ เนื่องจากเป็นช่วงสัปดาห์วันชาติของมาเลเซีย
ที่อาคาร 1 สนามบินกัวลาลัมเปอร์ จะมีเคาท์เตอร์เช็คอินสำหรับมาเลเซียแอร์ไลน์โดยเฉพาะ ผู้โดยสารชั้นหนึ่งและชั้นธุรกิจสามารถเข้าใช้บริการเช็คอินได้ที่จุดนี้
หลังจากเช็คอิน โหลดกระเป๋าเสร็จ ผมมายังอาคารเทียบเครื่องบิน Concourse เพื่อมาใช้บริการเลาจน์ของคาเธ่ย์แปซิฟิก ผู้โดยสารมาเลเซียแอร์ไลน์ชั้นธุรกิจ หรือผู้ที่ถือบัตร oneworld ระดับ Sapphire กับ Emerald สามารถเข้าใช้บริการเลาจน์นี้ได้
ภายในเลาจน์ตกแต่งเรียบง่าย เน้นโทนสีขาว สลับกับสีเปลือกไม้ มีอาหารร้อนหลากหลายอย่างให้เลือกรับประทาน ส่วนตัวแล้วผมชอบอาหารของเลาจน์คาเธ่ มากกว่าเลาจน์ของมาเลเซียแอร์ไลน์ เนื่องจากรสชาติถูกปากมากกว่า มีความออกไปทางแนวจีน คนไทยอย่างเราน่าจะชอบมากกว่าเลาจน์ของมาเลเซียแอร์ไลน์ ซึ่งอาหารออกแนวแกงกะหรี่อินเดียกับมาเลย์มากไปหน่อย
ผมชอบเลาจน์ของคาเธ่ย์ที่สนามบินเคแอลตรงที่มีแสงธรรมชาติมาก ถึงที่นั่งจะไม่เยอะเท่าเลาจน์ของมาเลเซียแอร์ไลน์แต่ให้บรรยากาศแบบ cozy กำลังดี
เมื่อใกล้เวลาขึ้นเครื่องอีก 40 นาที เราก็เดินไปที่เกทกัน วันนี้เกทของเราอยู่ไกลหน่อย เกือบสุดอาคาร Concourse
เกท C37 กับ C36 ใช้พื้นที่ร่วมกัน และจุดตรวจค้นเดียวกัน สิ่งที่ผมค่อนข้างไม่ปลื้มกับสนามบินเคแอลก็คือจุดตรวจค้นที่ไม่มีช่องพิเศษให้กับผู้โดยสารชั้นธุรกิจ หลายครั้งที่เป็นไฟลท์ที่ใช้เครื่องใหญ่ อย่างโบอิ้ง 777 หรือแอร์บัส A330 เช่นเดียวกับไฟลท์ที่เราจะบินกลับกรุงเทพฯ จะต้องเจอกับคิวยาวเหยียดอย่างที่เห็น
เที่ยวบินของเราวันนี้ MH 782 เครื่องออก 15:10
A330-200 มาจอดรอเราแล้ว วันนี้เครื่องออกตรงเวลา
เข้ามาข้างในเครื่อง วันนี้ผมยังนั่งที่นั่ง 6A เช่นเดิม
รับ welcome drink เป็นน้ำฝรั่งสีชมพู
หน้าปกเมนูอาหารมื้อบ่ายของเราวันนี้
มีอาหารให้เลือก 3 อย่าง แต่กว่าจะมาถึงผมเหลือแค่ไก่กับเนื้อ
ด้านข้างที่นั่งเป็นปุ่มควบคุมที่นั่ง
เส้นทางการบินของเราวันนี้ ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมง 45 นาที (เวลาของไฟลท์ทั้งหมด ประมาณ 2 ชั่วโมง 10 นาที)
ผมเลือกไก่ย่างเสียบไม้สไตล์อินเดีย กินคู่กับข้าวบาสมาติ จานเรียกน้ำย่อยคือสลัดผักรวม และของหวานเป็นทาร์ตช็อกโกแลต
กินเสร็จก็ได้เอนนอนสักแป๊บ เครื่องก็ลงจอดที่สุวรรณภูมิ ประมาณช่วงเกือบๆ 5 โมงเย็น
สำหรับรายละเอียดของที่นั่งเครื่องรุ่นนี้แบบเต็มๆ สามารถดูได้จากรีวิวก่อนหน้านี้ คลิกที่นี่
โดยภาพรวมผมยังมองว่า ลูกเรือบนเครื่องแบบ Wide Body ของมาเลเซียแอร์ไลน์ เช่น A330, A350 และ A380 ให้บริการดีกว่า และเอาใจใส่ผู้โดยสารมากกว่า หรืออาจจะเป็นเพราะว่าจำนวนลูกเรือมากกว่าด้วย ทำให้บริการได้รวดเร็วกว่า ต่างจาก B737 ที่มีลูกเรืออยู่เคบินละ 2 คน ทำให้การบริการดูเร่งรีบ ไม่ทั่วถึง ต่างจากบน A330 ที่ผมนั่งมา ซึ่งมีลูกเรือมากกว่า 10 คน ซึ่งระดับการเอาใจใส่ผู้โดยสารดูมากกว่า B737 อย่างเห็นได้ชัด
Comments